0
รวม 0.00 ฿
 x 

Your shopping cart is empty!

รวม 0.00 ฿

FREE DELIVERY !

3,000 บาทขึ้นไป*

Technical Support

ทดลองสินค้าหน้าร้าน บริการหลังการขาย

OPEN ( MON-SAT )

8.00-17.30(จ-ศ) 9.00-15.30(เสาร์)

Conductivity

  • Training ส่งของพร้อมสอนการใช้งาน เครื่องวัดความนำไฟฟ้า รุ่น CON900@บริษัท ไดนามิค เอ็นจิเนียริ่ง ซีสเท็ม จำกัด

    Project: ส่งของพร้อมสอนการใช้งาน เครื่องวัดความนำไฟฟ้า รุ่น CON900

    สถานที่: บริษัท ไดนามิค เอ็นจิเนียริ่ง ซีสเท็ม จำกัด , กรุงเทพมหานคร

    วันที่: 23 สิงหาคม 2561

    CON900

    • 1
    • 2
    • 3
  • การปรับเทียบค่าความนำไฟฟ้าในน้ำ

     

    การปรับเทียบค่าความนำไฟฟ้าในน้ำ(Electric Conductivity : EC)

    ในอดีตจนถึงปัจจุบันน้ำเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมากในการดำรงชิวิตทั้งใช้ในการอุปโภคและบริโภค  จึงมีความจำเป็นที่ต้องตรวจสอบและควบคุมคุณภาพให้มีความสะอาดและปลอดภัยอยู่เสมอ  อีกทั้งในปัจจุบันยังมีการปลูกผักที่สามารถเติบโตในน้ำได้หรือที่รู้จักกันในชื่อ ผักไฮโดรโปรนิกส์ ยิ่งต้องมีการควบคุมคุณภาพของน้ำโดยเฉพาะค่าความนำไฟฟ้าในน้ำ(Electric Conductivity) ไม่ให้เกินค่าที่กำหนด  ดังนั้นจึงมีเครื่องมือที่สามารถวัดค่าความนำไฟฟ้าในน้ำได้คือเครื่อง EC Meter ที่ออกแบบมาให้เกิดความง่ายความสะดวกและความรวดเร็วในการตรวจสอบ อีกทั้งยังสามารถปรับเทียบค่าสารละลายมาตรฐานของ EC ได้ด้วยตัวเอง เพื่อเพิ่มความแม่นยำและความถูกต้องให้กับการวัดค่าความนำไฟฟ้าในน้ำ(Electric Conductivity) ในที่นี้จะยกตัวอย่างการปรับเทียบค่าสารละลายมาตรฐานของ EC กับตัวเครื่องวัดค่า EC Meter รุ่น EC400 ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

     

    EC400 EXTECH เครื่องวัดค่าความนำไฟฟ้า

     

    1.ตัวเครื่อง EC400 สามารถทำการปรับเทียบค่าสารละลายมาตรฐานของ EC ได้ 3 จุด คือ

    ที่ค่า 84 us /cm ,1413 us / cm และค่า 12,880 us / cm   ทำการเตรียมค่าสารละลาย

    มาตรฐานของ ECให้เรียบร้อย

     

     

     

     

    2.กดปุ่มเปิดเครื่อง หน้าจอจะแสดงค่าอุณหภูมิและค่าของ EC จากนั้นนำหัววัดไปจุ่มลงใน

    สารละลายมาตรฐานของ EC ที่ค่า 84 us /cm (ก่อนทำการปรับเทียบค่า EC ควรทำการล้างหัววัด

    โดยการนำไปแกว่งในน้ำสะอาดหรือน้ำ DI) รอจนกว่าค่าที่จอแสดงผลจะนิ่ง  จึงทำการกดปุ่ม “CAL”

    ค้างไว้จนกว่าหน้าจอจะแสดงไอคอน CAL  จึงปล่อยมือ ตัวเครื่องจะทำการปรับเทียบค่าให้อัตโนมัติ

    และหน้าจอจะแสดง End เป็นการเสร็จการปรับเทียบค่าสารละลายมาตรฐานของ EC ที่ค่า 84 us /cm  EC400 EXTECH เครื่องวัดค่าความนำไฟฟ้า

    และพร้อมปรับเทียบค่าต่อไป

     

     

     

    3.ทำการล้างหัววัดก่อนการปรับเทียบค่าสารละลายมาตรฐานของ EC ที่ค่า 1413 us / cm  จากนั้นจุ่ม

    หัววัดลงในค่าสารละลายมาตรฐานของ EC ที่ค่า 1413 us / cm  กดปุ่ม “CAL” ค้างไว้จนกว่าหน้าจอจะ

    แสดงไอคอน CAL  จึงปล่อยมือ ตัวเครื่องจะทำการปรับเทียบค่าให้อัตโนมัติและหน้าจอจะแสดง End

    เป็นการเสร็จการปรับเทียบค่าสารละลายมาตรฐานของ EC ที่ค่า 1413 us / cm  และพร้อมปรับเทียบค่าต่อไป

     

     

    4.ทำการปรับเทียบค่าสารละลายมาตรฐานของ EC ที่ค่า 12,880 us / cm  โดยทำตามขั้นตอนในข้อที่ 3

    จากนั้นจำนำตัวเครื่อง EC Meter รุ่น EC400 ไปวัดค่าความนำไฟฟ้าในน้ำ (Electric Conductivity : EC)

    ได้อย่างแม่นยำและความถูกต้อง

     

     EC400 EXTECH เครื่องวัดค่าความนำไฟฟ้า

     

     

     

     

     

  • เซนเซอร์วัดค่าความชื้น

    เซนเซอร์วัดค่าความชื้น (Humidity Sensor)

     

    เซนเซอร์วัดค่าความชื้น (Humidity Sensor)

     

                   เซนเซอร์วัดค่าความชื้น ที่ใช้กันอยู่ในอุตสาหกรรมมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ Capacitive, Thermal Conductivity และ Resistive เมื่อเราจะเลือกนำไปใช้งานต่าง ๆ กัน การมาเริ่มทำความรู้จักถึงข้อดี และข้อด้อยของเซนเซอร์แต่ละชนิดจึงน่าจะมีประโยชน์ต่อข้อมูลการวัดที่จะได้รับมากที่สุด ผู้เขียนจะขอเริ่มจากสรุปข้อกำหนดที่เราควรจะจดจำไว้ เมื่อต้องเลือกใช้เซนเซอร์วัดค่าความชื้น ซึ่งได้แก่

    1) ความแม่นยำ (Accuracy)

    2) ความสามารถในการวัดซ้ำ (Repeatability)

    3) เสถียรภาพในช่วงเวลายาว ๆ (Stability)

    4) ความสามารถในการชดเชย (Condensation) 

    5) ความทนทานต่อสารเคมี

    6) ขนาด และรูปตัวถังของเซนเซอร์ (Size & Package)

    7) ความคุ้มทุน (Cost)

     

    เซนเซอร์วัดความชื้นแบบคาปาซิตีฟ (Capacitive Humidity Sensor)

    Humidity Sensor

                   เซนเซอร์วัดค่าความชื้นแบบนี้วัดค่าความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity)มีการใช้งานกันอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรม เชิงพาณิชย์ งานวิจัยหรือทดลองทางฟิสิกส์ เซนเซอร์แบบนี้มีโครงสร้างที่

     

                   ประกอบไปด้วยชั้นฐานแผ่นฟิล์มบางที่ทำจากโพลีเมอร์ หรือเมทัลออกไซด์ (Metal Oxide) ถูกวางอยู่ระหว่างอิเล็กโตรดทั้งสอง โดยพื้นผิวของฟิล์มบางดังกล่าวถูกเคลือบด้วยอิเล็กโตรดโลหะแบบมีรูพรุนเพื่อป้องกันฝุ่นละอองและปัญหาจากแสงแดด

     

                   เซนเซอร์แบบคาปาซิตีฟสามารถตรวจจับความชื้นสัมพัทธ์ในสภาพแวดล้อมได้เกือบจะเป็นเชิงเส้น หรือมีการตอบสนองได้อย่างเป็นสัดส่วนที่ดีนั้นเอง โดยเมื่อค่าความชื้นสัมพัทธ์เปลี่ยนไป 1 เปอร์เซ็นต์ ค่าความจุไฟฟ้า (Capacitive) ก็จะเปลี่ยนไป 0.2 ถึง 0.5 pF

     

                   เซนเซอร์แบบคาปาซิตีฟถูกกำหนดให้มีคุณลักษณะเฉพาะคือค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิต่ำจึงทำให้ทำงานได้ดี แม้อุณหภูมิสูงถึง 200๐C การกลับสู่สภาวะเดิมจากสภาวะการควบแน่น และยังทนต่อไอระเหยของสารเคมีอีกด้วย ในขณะที่ช่วงเวลาการตอบสนองของเซนเซอร์คือ 30 ถึง 60 วินาที สำหรับการเปลี่ยนแปลงความชื้นในช่วง 63 เปอร์เซ็นต์

                   สำหรับข้อด้อยของเซนเซอร์แบบคาปาซิตีฟ ซึ่งเริ่มจากความผิดพลาดเท่ากับ 2%RH ในช่วงการเปลี่ยนแปลงค่าความชื้น 5% ถึง 95%RH นอกจากนี้เซนเซอร์ยังถูกจำกัดความสามารถด้วยระยะระหว่างชิ้นส่วนตรวจจับความชื้นกับวงจรแปลงสัญญาณ เพราะหากไกลกันมากจะทำให้เกิดผลกระทบของค่าความจุไฟฟ้า และในทางปฏิบัติจะต้องน้อยกว่า 10 ฟุต

                   คุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งของเซนเซอร์แบบค่าความจุก็คือ Dew Point เนื่องจากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสัญญาณสอดคล้องกับค่าความชื้นที่เปลี่ยนไป แม้จะเปลี่ยนแปลงไปน้อย ๆ ก็ตาม และค่า Drift ต่ำ ซึ่งถือว่าเป็นข้อดี แต่ถ้าค่าความชื้นที่เปลี่ยนไปต่ำกว่าในระดับที่กำหนดแล้ว เซนเซอร์ก็เริ่มที่จะทำงานไม่เป็นเชิงเส้น

     

     

    เซนเซอร์ความชื้นแบบรีซีสตีฟ (Resistive Humidity Sensor)

                   เซนเซอร์ความชื้นที่จะวัดการเปลี่ยนแปลงอิมพีแดนซ์ไฟฟ้าของตัวกลางดูดความชื้น (Hygroscopic Medium) อย่างเช่น โพลิเมอร์ เกลือหรือสารสังเคราะห์ทั้งนี้อิมพีแดนซ์ที่เปลี่ยนจะแปรผันกับค่าความความชื้นในลักษณะของกราฟเอกซ์โปเนนเชียลกลับด้าน โครงสร้างของเซนเซอร์ Resistive ประกอบด้วยอิเล็กโตรดโลหะ 2 ส่วนวางอยู่บนฐานด้วยเทคนิคการวางแบบโฟโตรีซีส (Photo resist) อิเล็กโตรดอาจมีขดลวดพันรอบ Wire-wound Electrodes ใช้แกนเป็นพลาสติกหรือแท่งแก้วทรงกระบอกในส่วนของฐานนั้นถูกเคลือบด้วยเกลือ (Salt) หรือโพลีเมอร์ (Conductive Polymer) การทำงานของเซนเซอร์ก็คือดูดซับไอน้ำและไอออนที่แตกตัว เป็นผลให้ค่าความนำไฟฟ้าของตัวกลางเพิ่มขึ้น โดยช่วงเวลาการตอบสนองของเซนเซอร์อยู่ในช่วง 10 ถึง 30 วินาทีสำหรับการเปลี่ยนแปลงในช่วง 63% โดยย่านของอิมพีแดนซ์ที่เปลี่ยนแปลงของเซนเซอร์แปรเปลี่ยน 1 kW ถึง 100 mW

     

                   เซนเซอร์แบบ Resistive จะใช้วงจรวัดแบบสมมาตร (Symmetrical) ซึ่งใช้แปล่งกำเนิดกระแสสลับกระตุ้นอย่างเช่นวงจรบริดจ์ (Bridge) และสาเหตุที่ให้ใช้กระแสตรงก็เพื่อป้องกันการเกิดขั้วศักย์ไฟฟ้าขึ้นนั่นเอง

                   เมื่อความต้านทานเปลี่ยนตามการเปลี่ยนของความชื้นเป็นผลให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลในวงจรวัด กระแสไฟนี้จะถูกแปลงเป็นสัญญาณแรงดันกระแสตรงเพื่อการส่งผ่านไปยังวงจรขยายย่านวัด วงจรขยายแรงดัน วงจรปรับเชิงเส้นและวงจรแปลงสัญญาณอนาล็อกเป็นดิจิตอลต่อไป ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการต่าง ๆ แล้วจะทำให้เซนเซอร์และ Resistive มีการตอบสนองต่ออุณหภูมิได้ดีมาก

                   ข้อดีของเซนเซอร์แบบ Resistive ก็คือการสับเปลี่ยนได้ (Interchangeability) หมายถึงหากตัวใดเสียก็สามารถนำอีกตัวหนึ่งมาแทนได้ โดยผ่านการสอบเทียบด้วยการปรับค่าความต้านทาน ซึ่งก็ทำให้ค่าความชื้นเปลี่ยนแปลงไปไม่เกิน ±2%RH อย่างไรก็ตามหากต้องการสอบเทียบเซนเซอร์ Resistive ได้อย่างแม่นยำ ก็สามารถทำได้โดยใช้ RH Calibration Chamber หรือสอบเทียบด้วยระบบ DA ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์ร่วมด้วย ข้อควรจำอย่างหนึ่งของการใช้เซนเซอร์แบบ Resistive คืออ่านอุณหภูมิใช้งาน อยู่ในช่วง -40๐C ถึง 100๐C

                   แม้ว่าอายุการใช้งานของเซนเซอร์อยู่ในช่วง 5 ปี แต่การใช้งานในสภาพแวดล้อมของไอระเหยของสารเคมีหรือน้ำมันก็อาจทำให้อายุการใช้งานของเซนเซอร์สั้นลงกว่านี้ ข้อบกพร่องหรือข้อด้อยอีกอย่างของเซนเซอร์ Resistive ก็คือ การเกิดค่าเบี่ยงเบนเมื่อเกิดสภาวะควบแน่นหากใช้สารเคลือบที่ละลายน้ำได้

                   เซนเซอร์แบบ Resistive จะทำงานได้ในสภาพแวดล้อมที่มีการผันแปรของอุณหภูมิไม่เกิน 10๐F หากเกินนี้ อุณหภูมิก็จะเริ่มส่งผลให้อ่านค่าความชื้นได้เพี้ยนไป อย่างไรก็ตามด้วยสาเหตุนี้เองจึงมีการเพิ่มระบบชดเชยอุณหภูมิเข้าไปด้วยเพื่อให้ความแม่นยำสูงขึ้น จากที่กล่าวมานี้คุณลักษณะที่มีขนาดเล็ก ราคาถูก สามารถสับเปลี่ยนกันได้ และเสถียรภาพในช่วงเวลานาน จึงทำให้เหมาะใช้ในงานควบคุม อุปกรณ์แสดงผลในอุตสาหกรรม และใช้ในเครื่องใช้ต่าง ๆ ตามบ้าน

     

    เซนเซอร์ความชื้นแบบ Thermal Conductivity

                   เซนเซอร์แบบนี้เป็นชนิดเดียวที่วัดค่าความชื้นสมบูรณ์ โดยอาศัยการคำนวณความแตกต่างระหว่างค่าการนำความร้อนของอากาศแห้ง (Thermal Conductivity) กับการนำความร้อนของอากาศที่มีไอน้ำอยู่ โดยเมื่ออากาศหรือก๊าซแห้ง มันจะมีความสามารถที่จะรับความจุความร้อนสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น สภาวะอากาศในทะเลทราย ซึ่งจะร้อนจัดในเวลากลางวัน แต่พอตกกลางคืนอากาศจะลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากสภาวะบรรยากาศแห้ง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว อากาศที่มีความชื้นจะไม่เย็นลงอย่างรวดเร็วในตอนกลางคืนเพราะความร้อนยังแฝงอยู่ในไอน้ำของชั้นบรรยากาศ

                   เซนเซอร์แบบ Thermal Conductivity หรือเราอาจะเรียกเซนเซอร์ความชื้นสมบูรณ์ (Absolute Humidity Sensor) ประกอบด้วยเทอร์มิสเตอร์ 2 ตัว ต่ออยู่ในวงจรบริดจ์โดยเทอร์มิสเตอร์ตัวหนึ่งบรรจุอยู่ในแคปซูลที่มีก๊าซไนโตรเจน และเทอร์มิสเตอร์อีกตัวหนึ่งถูกวางอยู่ในบรรยากาศ กระแสไฟฟ้าจะถูกส่งผ่านเทอร์มิสเตอร์ทั้งสอง ส่งผลให้เกิดความร้อนสูงขึ้นในตัวเทอร์มิสเตอร์มากกว่า 200๐C และความร้อนที่กระจายออกจากเทอร์มิสเตอร์ในแคปซูลจะมากกว่า เทอร์มิสเตอร์ที่อยู่ในบรรยากาศ ความแตกต่างของอุณหภูมิของเทอร์มิสเตอร์ทั้งสองนี้ เป็นความต่างของการนำความร้อนของไอน้ำเทียบเก็บไนไตรเจนแห้ง ความแตกต่างของค่าความต้านทานของเทอร์มิสเตอร์จึงเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความชื้นสมบูรณ์

                   เซนเซอร์แบบ Thermal Conductivity มีความทนทานสูงและทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงถึง 300๐C และยังทนต่อไอระเหยสารเคมีได้เป็นอย่างดีจากคุณสมบัติที่ดีของวัสดุโครงสร้างเครื่องที่ไม่มีปฏิกิริยาทางสารเคมี เช่นแก้ว สารกึ่งตัวนำ ที่ใช้สร้างเทอร์มิสเตอร์พลาสติกทนอุณหภูมิสูงหรืออะลูมิเนียม

     

                   โดยทั่วไปแล้วจะมีการใช้เซนเซอร์แบบ Thermal Conductivity ในงานอุตสาหกรรมอบผ้าทั้งแบบที่ใช้ไมโครเวฟ หรือแบบที่ใช้ไอน้ำ รวมทั้งอุตสาหกรรมอบไม้ อุตสาหกรรมผลิตกระดาษ และการผลิตสารเคมีต่าง ๆ ทั้งนี้เซนเซอร์แบบนี้มีความแยกแยะที่ดีกว่าเซนเซอร์แบบอื่น ที่ระดับอุณหภูมิสูงกว่า 200๐F นอกจากนี้ก็อาจมีการใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำระดับ +3g/m3 ซึ่งเมื่อแปลงไปเป็นค่าความชื้นจะได้เท่ากับ ±5%RH ที่ 40๐C และ ±0.5% RH ที่ 100๐C

     

Contact Us